การรักษาเอชไอวี ในสมัยก่อนนั้นผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก หรือแทบจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติเลย แต่ปัจจุบันการแพทย์ทั่วโลกได้มุ่งเน้นพัฒนา การรักษาเอชไอวี และโรคเอดส์อย่างต่อเนื่อง มีวิจัยและวิวัฒนาการมากมาย จนทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความหวังอีกครั้ง พร้อมกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวไกล ผู้คนสามารถเข้าถึงความรู้เรื่องโรคเอดส์ได้มากกว่าเดิม เข้าถึงการตรวจและ การรักษาเอชไอวี ที่ง่ายขึ้นอีกด้วย
การรักษาเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
Table of Contents
ยาต้านไวรัสเอชไอวีในอดีต ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นอย่างมาก เพราะแต่ก่อนจะต้องทานยาจำนวนมากถึง 15-20 เม็ดต่อวันเลยทีเดียว และผลข้างเคียงของยายังมีมากด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และผื่นแพ้ยา เป็นต้น
สำหรับการรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน ยังเน้นที่การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวีเป็นหลัก โดยการทานยาต้านไวรัสเอชไอวีให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด จะต้องทานให้ครบ ไม่ขาดยา และตรงต่อเวลาเป็นประจำทุกวัน เป็นสิ่งที่ผู้ติดเชื้อควรมีวินัยอย่างเคร่งครัด และจำเป็นที่จะต้องทานยาต้านฯ ไปตลอด ไม่หยุดยาโดยเด็ดขาด จะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่เจ็บป่วยง่าย และไม่เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากไวรัสเอชไอวี
วิวัฒนาการของการรักษาเอชไอวี
วิวัฒนาการในการรักษาเชื้อเอชไอวี ได้มีการพัฒนายารักษาด้วยยาชนิดฉีด ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ต้องทานยาทุกวัน โดยการฉีด 1 ครั้ง จะอยู่ได้นาน 1-2 เดือน และคาดว่าจะได้มีการรับรองให้ใช้ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
ทั้งนี้การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวียังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และการที่ให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยเร็ว เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา หากพบว่าคุณมีความเสี่ยงต่อเอชไอวี ควรตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ หากพบว่ามีผลเลือดบวก จะมีโอกาสได้รับการรักษาทันท่วงที เพราะปัญหาสำคัญในปัจจุบันที่พบ คือ การที่หลายคนไม่รู้ตัวว่า ตัวเองมีเชื้อเอชไอวีอยู่ และเมื่อได้ไปพบแพทย์มักจะมีอาการหนักมากแล้ว หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย และรักษายาก
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี?
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยง ที่ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี ได้แก่ กลุ่มชายรักชาย ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สวมถุงยางอนามัย กลุ่มคนมีคู่นอนหลายคน และกลุ่มคนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดร่วมกัน ส่วนอีกกลุ่มที่แนะนำ คือ หญิงตั้งครรภ์ที่ควรได้รับการฝากครรภ์ และตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีทุกราย เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ในกรณีที่มีแม่มีเชื้อ
โดยสรุป การรักษาเชื้อเอชไอวี ให้หายขาดในปัจจุบันทางการแพทย์ ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยและคิดค้นอย่างต่อเนื่อง และผู้ติดเชื้อที่ทานยาอย่างต่อเนื่องจนปริมาณไวรัสในเลือดลดต่ำลงจนตรวจแทบไม่พบ หรืออยู่ในสถานะไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) ก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้ตัวเมื่อมีความเสี่ยง และเข้ารับการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุด